ข้อสังเกตและข้อเสนอแนะจากการศึกษาดูงานประเทศมาเลเซีย
- manueamekth

- Dec 31, 2014
- 3 min read
ประเด็นทั่วไปของประเทศมาเลเซีย
ประเทศมาเลเซียมีนโยบายเปิดกว้างด้านการค้าและการลงทุน โดยเฉพาะการลงทุนในสาขาที่สร้างมูลค่าเพิ่ม (High value added) เทคโนโลยีขั้นสูง (High technology) ใช้องค์ความรู้ (Knowledge intensive) และทักษะฝีมือ (Skill intensive) เนื่องจากประเทศมาเลเซียตั้งเป้าหมายที่จะเป็นประเทศที่มีรายได้สูง และเป็นเศรษฐกิจบนฐานแห่งความรู้ภายในปี 2563
ปัจจุบันมาเลเซียมีประชากรราว 30 ล้านคน ประกอบด้วยหลายเชื้อชาติ ได้แก่ มาเลย์ จีน อินเดีย และอื่นๆ อย่างไรก็ตาม ความแตกต่างทางเชื้อชาติที่เกิดขึ้น ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประเทศ ต่างคนต่างก็ทำหน้าที่ของตัวเอง ซึ่งเป็นแรงส่งเสริมเชิงบวกให้กับประเทศ อีกทั้งผู้นำของประเทศที่มีภาวะผู้นำสูง มีวิสัยทัศน์ที่ชัดเจน สามารถปกครองกลุ่มคนที่หลากหลาย สามารถสร้างประโยชน์จากความแตกต่างได้อย่างลงตัว
นโยบาย “One Malaysia” เพื่อให้ชาวมาเลเซียเชื้อสายต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเชื้อสายมาเลย์เชื้อสายจีน เชื้อสายอินเดีย และเชื้อสายอื่นๆ อยู่ร่วมกันอย่างสมานฉันท์
รถยนต์ยี่ห้อ “โปรตอน” ที่ผลิตขึ้นในประเทศมาเลเซีย แสดงให้เห็นถึงการพัฒนาเศรษฐกิจ ด้วยแนวทางชาตินิยม ไม่เลียนแบบประเทศตะวันตก ตามแนวคิดของ ดร.มหาธีร์ โมฮัมหมัด อดีตนายกรัฐมนตรี และถือเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของการเปลี่ยนแปลงมาเลเซียเป็นประเทศอุตสาหกรรม สามารถผลิตรถยนต์ได้เอง และจำหน่ายออกสู่ตลาดโลกภายใต้แบรนด์ “Proton Saga”
การเตรียมความพร้อมของประเทศมาเลเซียไม่เพียงแค่เตรียมด้านการเปลี่ยนแปลงของการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนเท่านั้น (AEC) แต่เป็นการการเตรียมความพร้อมในการยกระดับประเทศให้เป็นประเทศพัฒนาแล้วในปี 2563 คือภารกิจที่ท้าทายกว่าการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน
ในด้านคุณภาพและผลิตภาพแรงงาน พบว่ามาเลเซียมีตลาดแรงงานทักษะสูง ซึ่งเป็นผลจากการยกระดับมาตรฐานการศึกษา ความได้เปรียบด้านการใช้ภาษาอังกฤษและจีน ทำให้แรงงานส่วนใหญ่มีทักษะสูงมาก สามารถรองรับอุตสาหกรรมไฮเทคและเทคโนโลยีซับซ้อนและธุรกิจบริการได้เป็นอย่างดี
ประเทศมาเลเซียวางเป้าหมายให้อุตสาหกรรมฮาลาลของตนเป็นศูนย์กลางของโลก โดยได้จัดตั้ง Halal Industry Corporation : HDC ตั้งแต่ปี 2549 เป็นหน่วยงานกลางในการพัฒนาและส่งเสริมอุตสาหกรรมฮาลาล ซึ่ง HDC ได้จัดทำ The Halal Industry Master Plan ปี 2549 – 2563 โดยมีแผนการดำเนินงาน 3 ระยะ ได้แก่ (1) เตรียมความพร้อมให้ประเทศมาเลเซียเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมฮาลาล (2) มุ่งเน้นในธุรกิจอาหารแปรรูป เครื่องใช้ต่างๆ ให้มีการพัฒนาคุณภาพ นวัตกรรมและการทำตลาด (3) มุ่งเน้นการเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมฮาลาลจากระดับท้องถิ่นสู่ผู้นำในระดับสากล โดยเน้นกลุ่มสินค้า 4 กลุ่ม คือ เครื่องสำอางและเภสัชภัณฑ์ สินค้าอาหารแปรรูปพิเศษ สินค้าปศุสัตว์ และวัตถุดิบฮาลาล ทั้งนี้ อุตสาหกรรมฮาลาล ไม่ได้เฉพาะอาหารและเครื่องดื่มเท่านั้น แต่ยังครอบคลุมถึงเภสัชภัณฑ์ เครื่องสำอาง สินค้าอุปโภคอื่นๆ รวมถึงการบริการด้านอาหาร การเงิน การขนส่ง และการท่องเที่ยว
ประเด็นด้านโอกาสของผู้ประกอบการไทยกับประเทศมาเลเซีย
โอกาสทางการค้าและการลงทุนสำหรับผู้ประกอบการไทยในประเทศมาเลเซียมีค่อนข้างสูง เนื่องด้วยปัจจัยต่างๆ ดังนี้
ประเทศไทยและประเทศมาเลเซียมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมานาน อีกทั้งเศรษฐกิจมาเลเซียมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดย The Economist Intelligence Unit (EIU) คาดว่าเศรษฐกิจในช่วงปี 2556-2560 มีแนวโน้มขยายตัวเฉลี่ยราวร้อยละ 5 ต่อปี
คนมาเลเซียมีกำลังซื้อสูง โดยเฉพาะคนในเมือง ซึ่งรายได้เฉลี่ยต่อหัวต่อปีของประชากรมาเลเซียมากกว่าคนไทยถึง 1 เท่าตัว อีกทั้งข้อมูลจาก AT Kearney ระบุว่าประชากรของมาเลเซียมีกำลังซื้อสูงเป็นอันดับ 4 ของประเทศในกลุ่มมุสลิมทั้งหมด
ประเทศไทยได้รับประโยชน์จากภาษีนำเข้าที่มาเลเซียเรียกเก็บภายใต้เขตการค้าเสรีอาเซียน(ASEAN Free Trade Area : AFTA) ส่วนใหญ่ในอัตราร้อยละ 0 ซึ่งนับเป็นโอกาสที่เอื้ออำนวยให้สินค้าอาหารฮาลาลของไทยสามารถขยายตลาดในมาเลเซียได้อีกมาก
รัฐบาลประเทศมาเลเซียให้ความสำคัญในการสนับสนุนธุรกิจประเภทต่างๆ เพื่อเป็นแรงขับเคลื่อนในการก้าวไปสู่การเป็นประเทศพัฒนาแล้วในอนาคต ส่งผลให้ปัจจุบันโอกาสการลงทุนในมาเลเซียยังเปิดกว้าง โดยเฉพาะธุรกิจการแปรรูปสินค้าเกษตรและอาหาร สินค้าฮาลาลและธุรกิจท่องเที่ยว ซึ่งเป็นธุรกิจดาวรุ่งที่มีศักยภาพสำหรับนักลงทุนไทย
ผู้ประกอบการไทยกับมาเลเซียสามารถหาจุดแข็ง ร่วมมือกันในการขยายตลาดอาหารฮาลาลไปยังกลุ่มประเทศมุสลิมอื่นๆ ทั้งในอาเซียนและประเทศมุสลิมทั่วโลกที่มีประมาณ 1,800 ล้านคน หรือร้อยละ 25 ของประชากรโลก ซึ่งมีการบริโภคอาหารฮาลาลเป็นมูลค่ากว่า 2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อปี อาทิ อินโดนีเซีย อิหร่าน สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ตุรกี และอียิปต์ เป็นต้น ซึ่งเป็นตลาดขนาดใหญ่ที่นักลงทุนทั่วโลกให้ความสนใจ
บริษัทไทยที่ลงทุนในมาเลเซีย ได้แก่ เครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี) เป็นผู้ลงทุนรายใหญ่ในภาคเกษตร และอาหารในมาเลเซีย และมีอีกหลายบริษัทที่ได้เข้าไปลงทุน อาทิ เครือซิเมนต์ไทย (เอสซีจี) เครือปตท.เป็นต้น นอกจากนี้มีร้านอาหารไทยกว่า 5,000 ร้าน และที่รู้จักกันดีในนามร้านต้มยำกุ้ง ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ลงทุนในมาเลเซีย โดยส่วนใหญ่เป็นผู้ประกอบการจาก 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้
ปัจจุบันมีร้านต้มยำกุ้งไทยในประเทศมาเลเซียประมาณ 5,000 ร้าน มีแรงงานไทยที่ทำงานในร้านกว่า 120,000 คน สร้างรายได้นำเงินเข้าประเทศไทยปีละไม่ต่ำกว่า 500 ล้านบาท โดยปี 2556 ได้มีการจัดตั้งสมาคมผู้ประกอบธุรกิจอาหารไทยในประเทศมาเลเซียขึ้นเป็นที่ประชุมเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็น จัดกิจกรรมฝึกอบรม สัมมนา จับคู่ธุรกิจ นอกจากนี้ ผู้ประกอบการจากจังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศไทยมีโอกาสนำวัตถุดิบ และผลิตภัณฑ์ฮาลาลมาวางจำหน่าย ณ ร้านต้มยำกุ้งได้
ธุรกิจท่องเที่ยว มีโอกาสสำหรับผู้ประกอบการไทย เนื่องจากประเทศไทยและประเทศมาเลเซียมีพรมแดนติดกัน และชาวมาเลเซียนิยมเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยโดยเฉพาะจังหวัดทางภาคใต้
ประเทศไทยมีจุดแข็งด้านขั้นตอนการผลิตที่ได้มาตรฐานและมีวัตถุดิบที่มีคุณภาพ รวมถึงมีผู้ประกอบการที่มีศักยภาพจำนวนมาก แต่ผู้ประกอบการไทยส่วนใหญ่ยังขาดกลยุทธ์การตลาดที่จะทำให้ตลาดกลุ่มประเทศมุสลิมยอมรับ ขณะที่มาเลเซียมีจุดแข็งในด้านการทำการตลาด การกระจายสินค้าผ่านระบบโลจิสติกส์ และสินค้าได้รับการยอมรับสูง ซึ่งการทำธุรกิจกับคนมุสลิมนั้นต้องมีความละเอียดอ่อนและเข้าใจในระเบียบวิธีปฏิบัติของชาวมุสลิม โดยเฉพาะในเรื่อง “ฮาลาล” (Halal) ซึ่งมีมากกว่าการละเว้นจากการประกอบการอาหารที่ไม่มีเนื้อหมูเจือปน ซึ่งในความเป็นจริงตามอิสลามศาสนบัญญัติ ฮาลาล คือกระบวนการในการผลิตสินค้า การให้บริการที่ไม่ขัดต่อพระบัญญัติของศาสนา รวมถึง การปราศจากแอลกอฮอล์ในส่วนประกอบของสินค้าบางประเภทเช่น น้ำหอม หรือ เสื้อผ้าเครื่องแต่งกายที่ปราศจากการใช้แรงงานเด็ก เป็นต้น
นอกจากนี้ ปัญหาของมาเลเซียในการทำธุรกิจกับผู้ประกอบไทย คือ ด้านภาษา และนักลงทุนมีความรู้เกี่ยวกับประเทศไทยค่อนข้างน้อย ไม่ทราบข้อมูลเกี่ยวกับเป้าหมายหรือทิศทางที่ชัดเจนของอุตสาหกรรมของไทย การหาผู้ลงทุนที่มีศักยภาพ รวมถึงขั้นตอนในการลงทุนและการขอส่งเสริมการลงทุน
ประเด็นด้านหน่วยงานและสถานที่ต่างๆ
เมืองปุตราจายา ประเทศมาเลเซีย เป็นเมืองที่สวย มีระเบียบ สงบ และปลอดภัย เป็นศูนย์การบริหารและปกครอง ศูนย์รวมหน่วยราชการ แยกออกจากกัวลาลัมเปอร์ แสดงให้เห็นถึงวิสัยทัศน์ของผู้บริหารอดีตนายกรัฐมนตรี ดร.มหาเธร์ โมฮัมหมัด ที่มองการณ์ไกล ทำให้ประเทศมาเลเซียมีการพัฒนาอย่างรวดเร็ว จนเกือบจะมีมาตรฐานใกล้เคียงกับประเทศสิงคโปร์
โรงงาน Royal Selangor ผลิตเครื่องใช้ ของตกแต่ง เครื่องประดับ ที่ทำจากพิวเตอร์(Pewter) มีพนักงานโรงงานที่ลงรายละเอียดของงานฝีมือแต่ละชิ้นบนพิวเตอร์ อย่างแม่นยำ และสวยงาม ทำให้สินค้าพิวเตอร์จากโรงงานมีชื่อเสียง เป็นเครื่องเงินแอนทีคที่มีค่ากับการเก็บสะสมเป็นอย่างมาก แสดงให้เห็นว่าแรงงานฝีมือคุณภาพที่มีส่วนสร้างมูลค่าให้กับสินค้าได้ รวมทั้งสะท้อนให้เห็นถึงคุณภาพของแรงงานในมาเลเซียที่มีราคาสูงแต่ก็คุ้มค่ากับการว่าจ้าง
ประเทศต่างๆ ได้มีการพัฒนาอุทยานวิทยาศาสตร์ขึ้นมาจำนวนมาก โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อเป็นสถานที่บ่มเพาะธุรกิจเทคโนโลยี ที่อยู่ในช่วงเติบโตให้สามารถดำเนินการต่อไปได้ โดยจัดหาสถานที่ โครงสร้างพื้นฐาน และบริการต่างๆ เพื่อเอื้ออำนวยต่อการทำกิจกรรมทางธุรกิจ การวิจัยและพัฒนา เช่น อุทยานเทคโนโลยีแห่งมาเลเซีย (Technology Park Malaysia : TPM) อุทยานวิจัยเกียวโต (Kyoto Research Park) ประเทศญี่ปุ่น อุทยานอุตสาหกรรมวิทยาศาสตร์ชินจู (Hsinshu Science-based Industrial Park) ประเทศไต้หวัน และ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย (Thailand Science Park : TSP) ภายใต้การบริหารและดำเนินการ ของสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี แสดงให้เห็นว่าอุทยานวิทยาศาสตร์เป็นแหล่งพัฒนาธุรกิจแนวใหม่ที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง และเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นสำหรับการพัฒนาประเทศไปสู่เศรษฐกิจฐานความรู้ ซึ่งรูปแบบของแนวคิดในการพัฒนาอุทยานวิทยาศาสตร์ในแต่ละแห่งนั้นจะแตกต่างกันไป ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับทิศทาง บริบท และความต้องการของการพัฒนาในแต่ละประเทศเป็นสำคัญ
ศูนย์บ่มเพาะนวัตกรรม (Innovation Incubation Centre : ICC) เป็นส่วนหนึ่งของ TPM เช่นเดียวกับ ศูนย์บ่มเพาะธุรกิจ (Business Incubation Center : BIC) ที่เป็นส่วนหนึ่งของ สวทช. โดยมีหน้าที่พัฒนาและสนับสนุนผู้ประกอบการธุรกิจเทคโนโลยี ผ่านการกระบวนการบ่มเพาะธุรกิจที่มีแบบแผน เพื่อให้ผู้เข้าร่วมโครงการสามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน โดยกระบวนการบ่มเพาะธุรกิจเริ่มจากการวินิจฉัยธุรกิจ / วางแผนการบ่มเพาะ (Business Diagnose) อบรมเพิ่มทักษะทางธุรกิจ และ Product to Market (Advance Training) พบที่ปรึกษา (Consult) และสร้างเครือข่ายทางธุรกิจ (Business Network)
ห้องปฎิบัติการวิทยาศาสตร์ฮาลาล (Halal Science Laboratory) เป็นส่วนหนึ่งของศูนย์เทคโนโลยีชีวภาพ (TPM Biotech) เช่นเดียวกับประเทศไทยที่มีห้องปฏิบัติการวิทยาศาสตร์ฮาลาลหลายแห่ง ที่ให้บริการตรวจวิเคราะห์ เช่น ศูนย์วิทยาศาสตร์ฮาลาล จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ศูนย์วิทยาศาสตร์อาหารฮาลาล มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ สถาบันมาตรฐานอาหารฮาลาล เป็นต้น
ประเด็นด้านการจับคู่ธุรกิจ
ทีมที่ปรึกษา บริษัท มาเหนือเมฆ คอนซัลติ้ง เน็ตเวิร์ค จำกัดได้มีการอบรมเตรียมความพร้อมผู้ประกอบการก่อนเดินทางไปศึกษาดูงานและเจรจาธุรกิจ โดยใช้แนวความคิด “พลิกฟ้าล่าไอเดีย” สรุปได้ 4 ขั้นตอน ดังนี้
กำหนดเป้าหมายให้ชัดเจน – เป้าหมายทางธุรกิจ การเก็บไอเดียดีๆ การสร้างพอร์ตหรือชื่อเสียงของตน
เพิ่มขีดความสามารถในการรับรู้ โดยการมอง 4 แบบ คือ มองกว้างกว่าธุรกิจที่ตัวเองทำอยู่มองไกลแบบมีวิสัยทัศน์ว่าประเทศนั้นๆมีโอกาสด้านใดให้เราได้บ้าง มองรอบแบบครบวงจรว่าจุดใดที่บริษัทอื่นที่ทำธุรกิจเดียวกับเราแต่ทำได้ดีกว่า มองลึกแบบเฉพาะเจาะจงว่าในธุรกิจแบบเดียวกับเรา มีเทคนิค วิธีการคิดอย่างไร
ลงมือพลิกฟ้าล่าไอเดีย โดยต้องมีความพร้อม – ร่างกายพร้อม แผนการพร้อม อุปกรรณ์พร้อมและทำงานกันเป็นทีม
นำไอเดียที่ได้มาต่อยอด ปรับใช้กับธุรกิจของเรา
การเตรียมความพร้อมก่อนการจับคู่ธุรกิจ รู้เขา รู้เรา เป็นสิ่งสำคัญ ดังนั้น ผู้ประกอบการควรศึกษาวัฒนธรรม กฎหมาย ของประเทศคู่ค้า ตั้งแต่การทักทาย มารยาท การแต่งกาย บุคลิกที่น่าเชื่อถือ การแลกนามบัตร การเตรียมเอกสาร โบรชัวร์ แนะนำบริษัท ข้อมูลสินค้า ใบเสนอราคา ซึ่งควรใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลัก หรือการนำเสนอเป็น Powerpoint / VDO Presentation รวมทั้ง สินค้าตัวอย่าง หรือของที่ระลึกเพื่อสร้างความประทับใจ
หลังจากเจรจาธุรกิจประสบผลสำเร็จแล้ว ผู้ประกอบการควรมีการสร้างความสัมพันธ์กับคู่ค้าอย่างต่อเนื่อง เพื่อรักษาลูกค้าไว้ มีการติดตามประเมินผล ปรับปรุงและพัฒนาสินค้าให้ตรงกับความต้องการของลูกค้า
ผู้ประกอบที่ร่วมการศึกษาดูงานและเจรจาธุรกิจในครั้งนี้ส่วนใหญ่เป็นรุ่นทายาทธุรกิจ ซึ่งเป็นคนรุ่นใหม่ วิสัยทัศน์กว้าง มีความรู้ความสามารถด้านภาษา ส่งผลให้การเจรจาธุรกิจมีประสิทธิภาพมากขึ้น
วิทยากรที่มาบรรยายให้ความรู้เกี่ยวกับการทำธุรกิจกับประเทศมาเลเซียในครั้งนี้ได้มีโอกาสเห็นผลิตภัณฑ์และโบรชัวร์ ของแต่ละบริษัทและได้ให้ข้อคิดเห็นและข้อเสนอแก่ผู้ประกอบการ ในการพัฒนาและปรับปรุงให้ตรงกับความต้องการของชาวมาเลเซีย
การจัดกิจกรรมจับคู่ธุรกิจในครั้งนี้จัด ณ อุทยานเทคโนโลยีแห่งมาเลเซีย (Technology Park Malaysia : TPM) และองค์การพัฒนาส่วนภูมิภาคปีนัง (Penang Regional Development Authority : PERDA) ซึ่งผู้สนใจมาร่วมเจรจาธุรกิจยังมีจำนวนค่อนข้างน้อย เนื่องจากสถานที่ค่อนข้างไกล และการประชาสัมพันธ์อาจจะยังไม่ทั่วถึง หรือตรงกลุ่มเป้าหมาย อีกทั้งผู้ประกอบการมาเลเซียบางรายมาเข้าร่วมงานเจรจาธุรกิจ เพื่อต้องการเก็บรายละเอียดเกี่ยวกับสินค้าไทยเท่านั้น
กิจกรรมการจัดกิจกรรมจับคู่ธุรกิจ สามารถทำได้หลายรูปแบบ เช่น จัดงานร่วมกับงานแสดงสินค้าของประเทศนั้นๆ เช่น Malaysian International Food & Beverage Trade Fair (MIFB) หรือ Malaysia International Jewelry Fair (MIJF) ซึ่งต้องมีการรวมกลุ่มของผู้ประกอบการที่มากพอ และเป็นที่สนใจของนักธุรกิจ หรือในลักษณะเชิญชวนนักธุรกิจของต่างประเทศมาทำร่วมงานแสดงสินค้า จัดกิจกรรมจับคู่ธุรกิจในประเทศไทย
ผู้ประกอบการที่การเข้าสู่ตลาดมาเลเซียควรไปเยี่ยมชมตลาดก่อน และ การติดต่อสื่อสารกับคู่ค้าชาวมาเลเซียอย่างสม่ำเสมอจะเป็นการช่วยพิสูจน์ถึงความสนใจและความจริงใจ ช่วยเพิ่มโอกาสในการทำธุรกิจใหม่อีกด้วย เนื่องจากการขายตรงเข้าสู่ตลาดมาเลเซียนั้นทำได้ยาก นอกจากนี้ ทางเลือกหนึ่งในการเข้าสู่ตลาดมาเลเซีย คือ ผ่านทางหุ้นส่วนท้องถิ่น (ตัวแทนหรือผู้แทนจำหน่าย) ที่มีความสามารถในการจัดจำหน่ายและให้การสนันสนุนทางเทคนิคภายในประเทศได้ ทางเลือกอื่นๆ ในการเข้าสู่ตลาดรวมถึงการตั้งสำนักงานตัวแทน สำนักงานสาขา บริษัทร่วมทุน หรือองค์กรที่ชาวต่างชาติเป็นผู้ถือหุ้นทั้งหมด นอกจากนี้ ทางเลือกที่ได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้น คือการอนุญาตให้ใช้สิทธิ์ (Licensing) และแฟรนไชส์
ผู้ประกอบการไทยสามารถศึกษาข้อมูลประเทศมาเลเซียตั้งแต่ ข้อมูลพื้นฐาน ข้อมูลเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน การท่องเที่ยว แรงงาน ความตกลงและความร่วมมือต่างๆได้ที่ เว็บไซด์ www.thaibizmalay.com
ประเด็นด้านอื่นๆ
การดำเนินการช่วยเหลือผู้ประกอบการด้านการตลาด เช่น กิจกรรมสร้างเครือข่ายธุรกิจกับต่างประเทศ การจับคู่ธุรกิจ หรือ การร่วมแสดงสินค้าต่างๆนั้น ทางกรมส่งเสริมอุตสาหกรรมควรบูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานอื่น เช่น กรมเจราจาการค้าระหว่างประเทศ กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย หรือ หอการค้าแห่งประเทศไทย เพื่อให้การทำงานมีประสิทธิภาพ และผู้ประกอบการได้รับประโยชน์มากขึ้น
วิทยากร Mohd Hafizi Abdul Fatha, Program manager, GERIC (GlobalEntrepreneurship Research & Innovation Center) ได้แนะนำให้ผู้ประกอบการไทยใช้ Business Model Canvas (BMC) เพื่อวิเคราะห์โมเดลธุรกิจ ช่วยให้ผู้ประกอบการมองธุรกิจได้ครบทุกด้าน มองเห็นจุดอ่อน จุดแข็งของธุรกิจได้ ซึ่งทางกรมส่งเสริมอุตสาหกรรมมีหลักสูตรฝึกอบรม BMC สำหรับผู้ประกอบการ และที่ปรึกษาเพื่อรองรับ AECสำหรับผู้ที่สนใจข้อมูลเพิ่มเติมสามารถติดต่อได้ที่กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือหาหนังสือที่ชื่อว่า Business Model Generation โดย Dr.Alexander Osterwalder ผู้เชี่ยวชาญด้านการปรับปรุงนวัตกรรมโมเดลธุรกิจ มาอ่านในรายละเอียดได้ รวมทั้งทางเว็บไซด์ http://www.businessmodelgeneration.com
จากการสนทนากับผู้ประกอบการที่เข้าร่วมการศึกษาดูงานและเจรจาธุรกิจในครั้งนี้ พบว่าผู้ประกอบการบางรายเคยเข้าร่วมกิจกรรมกับทางกรมส่งเสริมอุตสหากรรมมาบ้างแล้ว เช่น กิจกรรมการพัฒนาผู้ประกอบการใหม่ (NEC) กิจกรรมการพัฒนาอุตสาหกรรมรายสาขา อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการ หลายรายไม่เคยรู้จักกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม แต่รู้จักที่ปรึกษาที่มารับงานของกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ดังนั้น ควรมีการประชาสัมพันธ์ในเชิงรุกมากขึ้น รวมทั้งการจัดทำคู่มือในการรับบริการที่มีรายละเอียด กำหนดการสัมมนา การฝึกอบรม กิจกรรมการให้บริการต่างๆของกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ข้อมูลติดต่อ ในแต่ละปีงบประมาณ
cr. ANGSANADIP
https://angsanablog.wordpress.com/2014/12/31/%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%95%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B9%81%E0%B8%99%E0%B8%B0/













































Comments